เมนู

ก็ท่านทั้งหลายมีโอกาสอันเราได้
กระทำแล้ว ปรารถนาในใจเพื่อจะถาม
ปัญหาข้อใดข้อหนึ่ง ก็จงถามความสงสัย
ทุก ๆ อย่างของพราหมณ์พาวรีหรือของท่าน
ทั้งปวงเถิด
อชิตมาณพมีโอกาสอันพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้ากระทำแล้ว นั่งลงประณมอัญชลี
ทูลถามปัญหาเเรกกะพระตถาคต ณ ที่นั่ง
ฉะนี้แล.

จบวัตถุกถา

อรรถกถาปารายนวรรคที่ 5


อรรถกถาวัตถุคาถา1 แห่งปารายนวรรค


วัตถุคาถา

แห่งปารายนวรรคมีคำเริ่มต้นว่า โกสลานํ ปุรา รมฺมา
ดังนี้.
วัตถุคาถานี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
มีเรื่องอยู่ว่า ครั้งอดีตกาล มีช่างไม้คนหนึ่งชาวกรุงพาราณสี. ไม่มี
ใครเป็นสองในสำนักอาจารย์ของตน. ช่างไม้นั้นมีศิษย์ 16 คน ศิษย์คน
หนึ่ง ๆ มีอันเตวาสิกคนละ 1,000 คน. อาจารย์และอันเตวาสิกเหล่านั้นรวม
เป็น 16,000 คนอย่างนี้. ทั้งหมดนั้นอาศัยกรุงพาราณสีเลี้ยงชีพ ได้ไปใกล้ภูเขา
เอาไม้มาสร้างปราสาทชนิดต่าง ๆ ณ ที่นั้นขาย แล้วผูกแพนำมากรุงพาราณสี
1. บาลีใช้ว่า วัตถุกถา.

ทางแม่น้ำคงคา หากพระราชาทรงต้องการก็จะสร้างปราสาทชั้นเดียว หรือเจ็ด
ชั้นถวาย หากไม่ทรงต้องการ ก็จะขายคนอื่นเลี้ยงบุตรภรรยา.
ลำดับนั้นวันหนึ่ง อาจารย์ของอันเตวาสิกเหล่านั้นคิดว่า เราไม่สามารถ
จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเป็นช่างไม้ตลอดไป เพราะถึงคราวแก่ กรรมนี้ทำได้ยาก
จึงเรียกอันเตวาสิกทั้งหลายมาบอกว่า นี่แนะท่านทั้งหลาย พวกท่านจงไปนำต้น-
ไม้ที่มีแก่นน้อย มีต้นมะเดื่อเป็นต้นมา. อันเตวาสิกเหล่านั้นรับคำแล้วต่างก็
ไปนำมา. อาจารย์นั้นเอาไม้ทำเป็นนกแล้วใส่เครื่องยนต์เข้าไปภายในนกนั้น.
นกไม้กระโดดขึ้นสู่อากาศดุจพญาหงส์ เที่ยวไปเบื้องบนป่าแล้วลงเบื้องหน้า
อันเตวาสิกทั้งหลาย. ลำดับนั้น อาจารย์จึงถามศิษย์ทั้งหลายว่า นี่แน่ะท่าน
ทั้งหลายเราทำพาหนะไม้เช่นนี้ได้ ก็จะสามารถยึดราชสมบัติในชมพูทวีปได้ทั้ง
สิ้น แม้พวกท่านก็จงทำพาหนะไม้นั้น เราจะยึดราชสมบัติดำรงชีพ การเลี้ยงชีพ
ด้วยศิลปะการเป็นช่างไม้ลำบาก. ศิษย์เหล่านั้นได้ทำตามนั้นแล้วแจ้งให้อาจารย์
ทราบ. ลำดับนั้นอาจารย์จึงกล่าวกะพวกศิษย์ว่า เรายึดราชสมบัติที่ไหนก่อน.
พวกศิษย์ตอบว่า ยึดราชสมบัติกรุงพาราณสีซิท่านอาจารย์. อาจารย์กล่าวว่า
อย่าเลยพวกท่าน ไม่ดีดอก เพราะพวกเรายึดราชสมบัติกรุงพาราณสีได้ก็จะ
ไม่พ้นจากการพูดถึงช่างไม้ว่า พระราชาช่างไม้ พระยุพราชช่างไม้ ชมพูทวีป
ออกใหญ่โต เราไปที่อื่นกันเถิด. ลำดับนั้น พวกศิษย์พร้อมด้วยลูกเมียขึ้น
พาหนะไม้ สอดอาวุธมุ่งหน้าไปหิมวันตประเทศ เข้าไปยังนครหนึ่งในหิมวันต์
ไปปรากฎในพระราชมณเฑียรนั่นเอง. ศิษย์เหล่านั้นยึดราชสมบัติในนครนั้น
อภิเษกอาจารย์ไว้ในราชสมบัติ. อาจารย์นั้นได้ปรากฏชื่อว่า พระเจ้ากัฏฐวาหนะ

แม้นครนั้นก็ได้ชื่อว่า กัฏฐวาหนนครเหมือนกัน เพราะพระเจ้ากัฏฐวาหนะยึด
ได้. แม้รัฐทั้งสิ้นก็มีชื่ออย่างนั้น. พระราชากัฏฐวาหนะได้ทรงดำรงอยู่ในธรรม.
อนึ่ง ทรงตั้งพระยุพราชและทรงตั้งศิษย์ 16 คน ไว้ในตำแหน่งอาจารย์.
พระราชาทรงสงเคราะห์ศิษย์เหล่านั้นด้วยสังคหวัตถุ 4 จึงเป็นแคว้นที่มั่งคั่ง
สมบูรณ์และไม่มีอันตราย. ทั้งชาวเมืองชาวชนบทนับถือพระราชาและข้าราช-
การเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราได้พระราชาที่ดี ข้าราชบริพารก็เป็นคนดี.
อยู่นาวันหนึ่ง พวกพ่อค้าจากมัชฌิมประเทศ นำสินค้ามาสู่กัฏฐวาหน-
นคร และนำเครื่องบรรณาการไปเฝ้าพระราชา. พระราชาตรัสถามว่า พวก
ท่านมาจากไหน. ทูลว่า ขอเดชะ มาจากกรุงพาราณสี พระเจ้าข้า. พระราชา
ตรัสถามเรื่องราวทั้งหมด ณ กรุงพาราณสีนั้นแล้วตรัสว่า พวกท่านจงนำมิตร-
ภาพของเราไปทูลกับพระราชาของพวกท่านเถิด, พ่อค้าเหล่านั้นรับพระราช-
ดำรัสแล้ว. พระราชาพระราชทานเสบียงแก่พวกพ่อค้าเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาไป
ยังตรัสชี้แจงด้วยความใส่พระทัย. พวกพ่อค้ากลับไปกรุงพาราณสีได้กราบทูล
พระราชาให้ทรงทราบ. พระราชาตรัสว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะงดเก็บ
ส่วยของพ่อค้าที่มาจากแคว้นกัฎฐวาหนะ แล้วทรงให้ป่าวประกาศว่า พระราชา
กัฏฐวาหนะจงเป็นพระสหายของเรา, พระราชาทั้งสองได้เป็นมิตรกันโดยไม่ได้
เห็นกันเลย. แม้พระราชากัฏฐวาหนะ ก็ทรงให้ป่าวประกาศไปทั่งนครว่า ตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป ท่านจงงดเก็บส่วยของพ่อค้าที่มาจากกรุงพาราณสี และควร
ให้เสบียงแก่พวกเขาด้วย.
ลำดับนั้นพระเจ้าพาราณสี ทรงส่งพระราชสารไปถวายแด่พระเจ้ากัฏฐ-
วาหนะว่า หากมีอะไรเเปลก ๆ อันสมควรเพื่อจะเห็นเพื่อจะฟังในชนบทนั้นเกิด

ขั้นเพื่อให้ข้าพระองค์ได้เห็นและได้ฟังบ้าง. พระราชากัฏฐวาหนะทรงส่งพระ-
ราชสารตอบถวายพระราชาพาราณสีเหมือนกัน. เมื่อพระราชาทั้งสองทรง
กระทำกติกากันอยู่อย่างนี้ คราวหนึ่ง พระราชากัฏฐวาหนะได้ผ้ากัมพลเนื้อ
ละเอียดยิ่งนัก มีค่ามากเหลือเกินมีสีคล้ายรัศมีพระอาทิตย์อ่อน ๆ. พระราชา
กัฎฐวาหนะทอดพระเนตรเห็นผ้ากัมพลเหล่านั้น ทรงดำริว่า เราจักส่งไปให้
สหายของเราจึงให้ช่างทำงาสลักผอบงา 8 ใบ เอาผ้ากัมพลใส่ลงในผอบ
เหล่านั้น ให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับครั้งทำก้อนครั่งกลมหุ้มข้างนอก เอาครั่งเป็น
ก้อนกลม 8 ก้อนใส่ไว้ในสมุก เอาผ้าพันไว้ประทับตราแล้วทรงส่งอำมาตย์ไป
รับสั่งว่า พวกท่านจงนำไปถวายพระราชาพาราณสี และทรงจารึกพระอักษรว่า
บรรณาการนี้ อันหมู่อำมาตย์ท่ามกลางพระนครพึงสนใจ. พวกอำมาตย์พากัน
ไปได้ถวายแด่พระเจ้าพาราณสี. พระเจ้าพาราณสีทรงอ่านคำจารึกแล้วรับสั่ง
ให้ประชุมเหล่าอำมาตย์ แกะตราประทับคลี่ผ้าพันออก เปิดสมุกทรงเห็นก้อน
ครั้งกลม 8 ก้อน ทรงเขินว่าสหายของเราส่งก้อนครั่งกลมให้เรา คล้ายกับให้
เด็กอ่อนเล่นก้อนครั่งกลม จึงทรงทุบก้อนครั่งก้อนหนึ่ง ณ พระที่นั่งของพระ-
องค์ ทันใดนั้นเอง ครั้งก็ตกมา ผอบงาแยกออกเป็นสองส่วน. ทอดพระ
เนตรเห็นผ้ากัมพลอยู่ข้างใน จึงทรงเปิดผอบอื่น ๆ. ในผอบทั้งหมดได้มี
เหมือนๆ กัน. ผ้ากัมพลผืนหนึ่ง ฯ ยาว 16 ศอก กว้าง 8 ศอก. มหาชนเห็น
ดังนั้นต่างก็ดีดนิ้วมือยกท่อนผ้าโบก ได้มีความพอใจว่า พระราชากัฏฐวาหนะ
พระอทิฏฐสหาย (สหายที่ไม่เคยเห็นกัน) ของพระราชาของเราทรงส่งบรรณา-
การเช่นนี้มาถวาย การทำไมตรีเช่นนี้สมควรแล้ว. พระราชารับสั่งให้เรียก

พ่อค้ามาตีราคาผ้ากัมพลผืนหนึ่ง ๆ ผ้ากัมพลทั้งหลายหาค่ามิได้เลย. ลำดับนั้น
พระเจ้าพาราณสีทรงดำริว่า การส่งบรรณาการภายหลัง ควรจะส่งให้เหนือกว่า
บรรณาการที่ส่งมาครั้งแรก สหายของเราส่งบรรณาการหาค่ามิได้มาให้เรา เรา
ควรจะส่งอะไรให้สหายดีหนอ.
ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะทรงอุบัติขึ้นแล้ว
ประทับอยู่ ณ กรุงพาราณสี. ครั้งนั้นพระราชาได้มีพระราชดำริว่า สิ่งอื่นจะ
สูงสุดยิ่งกว่าพระรัตนตรัยไม่มี เอาเถิด เราจะส่งข่าวว่าพระรัตนตรัยเกิดขึ้นแล้ว
แก่สหาย. พระเจ้าพาราณสีนั้น ตรัสให้จารึกคาถานี้ว่า
พระพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นพร้อมแล้ว
ในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งปวง
พระธรรม เกิดขึ้นพร้อมแล้วในโลก เพื่อ
ความสุขแก่สัตว์ทั้งปวง พระสงฆ์เกิดขึ้น
พร้อมแล้วในโลก เป็นบุญเขต ที่ไม่มีอะไร
ยิ่งไปกว่า
ดังนี้.
และให้จารึกการปฏิบัติของภิกษุรูปหนึ่งตราบเท่าถึงพระอรหัตด้วยชาดสีแดง
ลงบนแผ่นทอง ใส่ลงในสมุกทำด้วยแก้ว 7 ประการ ใส่สมุกนั้นลงในสมุก
ทำด้วยแก้วมณี ใส่สมุกทำด้วยแก้วมณีลงในสมุกแล้วตาแมว ใส่สุกแก้วตา
แมว ลงในสมุกทับทิม ใส่สมุกทับทิมลงในสมุกทองคำ ใส่สมุกทองคำลงใน
สมุกเงิน ใส่สมุกเงินลงในสมุกงาช้าง ใส่สมุกงาช้างในสมุกไม้แก่น ใส่สมุก
ไม้แก่นลงในหีบ เอาผ้าพันหีบประทับตรา ทรงให้นำช้างเมามันตัวประเสริฐ

มีธงทองคำประดับด้วยทองคำ คลุมด้วยตาข่ายทองให้ตกแต่งบัลลังก์บนช้างนั้น
แล้วยกหีบวางไว้บนบัลลังก์ กั้นเศวตฉัตร บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ทุกชนิด
ขับเพลงสรรเสริญหนึ่งร้อย ด้วยกังสดาลทุกชนิดเคลื่อนไป ให้ตกแต่งทางจน
ถึงเขตรัชสีมาของพระองค์ แล้วทรงนำไปด้วยพระองค์เอง. เสด็จประทับอยู่ ณ
ทางนั้นแล้ว ทรงส่งบรรณาการไปถึงเจ้าประเทศราชทั้งหลายว่า อันพวกเราผู้
เคารพอย่างนี้ควรส่งบรรณาการนี้ไป. พระราชาเหล่านั้น ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว
จึงเสด็จมาต้อนรับ ทรงนำไปจนถึงเขตรัชสีมาของพระราชากัฏฐวาหนะ. แม้
พระราชากัฏฐวาหนะได้ทรงสดับแล้วก็เสด็จมาต้อนรับทรงบูชาเหมือนอย่างนั้น
ทูลเชิญเข้าพระนครรับสั่งให้ประชุมเหล่าอำมาตย์ และพวกชาวพระนคร ทรง
เปลื้องผ้าพันออก ณ พระลานหลวง ทรงเปิดหีบทอดพระเนตรเห็นสมุกในหีบ
แล้วทรงเปิดหีบทั้งหมดตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นจารึกบนแผ่นทองคำ ทรง
พอพระทัยว่า สหายของเราทรงส่งรัตนบรรณาการ ซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่งตลอด
แสนกัป พวกเราได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังว่า พุทฺโธ โลเก อุปปนฺโน พระพุทธ-
เจ้าทรงอุบัติแล้วในโลกดังนี้ ทรงดำริว่า ถ้ากระไรเราควรจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
และฟังพระธรรม ดังนี้แล้วตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมารับสั่งว่า ได้ยินว่า
พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะและพระสังฆรัตนะ อุบัติแล้วในโลกพวกท่าน
นึกว่าควรจะทำอะไร. อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์
ประทับอยู่ ณ ที่นี้แหละ พวกข้าพระองค์จักไปฟังข่าวดู พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น
อำมาตย์ 16 คน พร้อมด้วยบริวาร 16,000 คน ถวายบังคมพระราชาแล้วกราบ
ทูลว่า ผิว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก ก็คงไม่มีการกลับมาเห็นอีก ผิว่า

ไม่ทรงอุบัติ พวกข้าพระพุทธเจ้า จักกลับมา แล้วพากันไป. ฝ่ายพระเจ้าหลาน
เธอของพระราชา ถวายบังคมพระราชาในภายหลังกราบทูลว่า แม้ข้าพระพุทธ-
เจ้าก็จะไป. พระราชาตรัสว่า เมื่อเจ้ารู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ ณ ที่นั้นแล้ว
จงกลับมาบอกเราด้วย. พระเจ้าหลานเธอรับพระบัญชาแล้วจึงได้ไป. พวกเขา
แม้ทั้งหมดไปตลอดทางพักเพียงราตรีเดียว ก็ถึงพระนครพาราณสี. เมื่อพวก
อำมาตย์ยังไปไม่ถึงนั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว. พวกเขา
เที่ยวไปจนทั่ววิหารเห็นสาวกอยู่กันพร้อมหน้า จึงถามว่าใครเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน. สาวกเหล่านั้นจึงบอกแก่พวกเขาว่า พระพุทธเจ้า
นิพพานเสียแล้ว. พวกอำมาตย์เหล่านั้นพากันคร่ำครวญว่า โอ เรามาไกล แต่
ไม่ได้แม้เพียงเห็น จึงถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าพระโอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประทานไว้ยังมีอยู่หรือ. พระสาวกเหล่านั้น กล่าวว่า มีอยู่อุบาสก คือพึงตั้ง
อยู่ในพระรัตนตรัย พึงสมาทานศีล 5 พึงเข้าอยู่จำอุโบสถประกอบด้วยองค์ 8
พึงให้ทาน พึงปฏิบัติธรรม. อำมาตย์เหล่านั้นครั้นได้ฟังแล้วพากันบวชทั้งหมด
เว้นอำมาตย์ผู้เป็นพระเจ้าหลานเธอนั้น. อำมาตย์ผู้เป็นพระเจ้าหลานเธอ ถือ
เอาบริโภคธาตุ มุ่งหน้ากลับไปยังแคว้นกัฏฐวาหนะ. ต้นโพธิ บาตรและจีวร
เป็นต้น ชื่อว่า บริโภคธาตุ. พระเจ้าหลานเธอนี้ถือเอาธมกรก (หม้อกรอง
น้ำ) ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และพาพระเถระรูปหนึ่งผู้ทรงธรรมและวินัยไป
ยังพระนครโดยลำดับ ได้กราบทูลพระราชกว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว
ในโลกและเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้กราบทูลถึงโอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประทานไว้. พระราชาเสด็จเข้าไปหาพระเถระฟังธรรมแล้วรับสั่งให้สร้าง
วิหารประดิษฐานพระเจดีย์ ปลูกต้นโพธิ ทรงดำรงอยู่ในพระรัตนตรัย และ

ศีล 5 เป็นนิจ ทรงเข้าอยู่จำอุโบสถประกอบด้วย 8 ทรงให้ทาน ทรงดำรง
อยู่ตราบเท่าอายุแล้วไปบังเกิดในกามาวจรเทวโลก. แม้อำมาตย์ 16,000 คน
ก็พากันบวชถึงมรณภาพเยี่ยงปุถุชน ได้ไปเป็นบริวารของพระราชานั้นนั่นเอง.
อำมาตย์เหล่านั้นอยู่ในเทวโลกสิ้นไปพุทธันดรหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าของเรายังไม่ทรงอุบัติ ได้เคลื่อนจากเทวโลก อาจารย์เกิดเป็นบุตร
ของปุโรหิตผู้เป็นพระชนกของพระเจ้าปเสนทิ มีชื่อว่า พาวรี ประกอบด้วย
มหาปุริสลักษณะ 3 ประการ ถึงฝั่งแห่งไตรเพท เมื่อบิดาล่วงลับไปได้ดำรง
ตำแหน่งปุโรหิตแทน. แม้อำมาตย์ที่เหลืออีก 16,000 คน ได้เกิดในตระกูล
พราหมณ์ที่กรุงสาวัตถีนั้นนั่นเอง. บรรดาอันเตวาสิก 16,000 คน เหล่านั้น
อันเตวาสิกผู้ใหญ่ 16 คน ได้เรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์. อันเตวาสิก
16,000 คน นอกนั้นก็ได้เรียนศิลปะในสำนักของอันเตวาสิก 16 คนนั้นเหมือน
กัน เพราะฉะนั้นทั้งหมดจึงมาประชุมกันอีก. แม้พระราชามหาโกศลก็ได้เสด็จ
สวรรคตเสียแล้ว. จึงได้อภิเษกพระเจ้าปเสนทิขึ้นครองราชสมบัติ. พาวรี-
พราหมณ์ก็ได้ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทินั้น. พระราชาได้พระราชทานสิ่ง
ของที่พระชนกพระราชทานไว้ และสมบัติอื่นแก่พาวรีปุโรหิต. แม้พระราชา
นั้นเมื่อยังทรงพระเยาว์ ก็ได้เรียนศิลปะในสำนักของพาวรีปุโรหิตเหมือนกัน.
ลำดับนั้น พาวรีได้ทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จักบวช.
พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ เมื่อท่านดำรงอยู่ก็เหมือนบิดาของข้าพเจ้ายังอยู่
ท่านอย่าบวชเลย. พาวรีทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จักบวชแน่พระเจ้า-
ข้า. พระราชาไม่ทรงสามารถห้ามได้ จึงทรงขอร้องว่า ขอท่านจงบวชอยู่ใน

พระราชอุทยานนี้เถิด. ข้าพเจ้าจะได้เห็นทุกเย็นและเช้า. อาจารย์พร้อมด้วย
ศิษย์ 16 คน กับบริวารอีก 16,000 คน ได้บวชเป็นดาบสอยู่ในพระราช
อุทยาน. พระราชาทรงบำรุงด้วยปัจจัย 4 เสด็จไปทรงอุปัฏฐากอาจารย์นั้น
ทุกเวลาเย็นและเวลาเช้า.
อยู่มาวันหนึ่งอันเตวาสิกทั้งหลายกล่าวกะอาจารย์ว่า การอยู่ใกล้พระ-
นครมีเครื่องพัวพันมาก ท่านอาจารย์เราไปหาโอกาสที่ไม่มีชนรบกวนเถิด ชื่อ
ว่าการอยู่ในเสนาสนะอันสงัด เป็นประโยชน์มากแก่บรรพชิตทั้งหลาย. อาจารย์
รับว่า ดีละ จึงไปทูลพระราชา. พระราชาตรัสห้ามถึง 3 ครั้งก็ไม่สามารถจะ
ห้ามได้ จึงพระราชทานหาปณะ 200,000 กหาปณะ รับสั่งกะอำมาตย์ทั้ง-
หลายว่า พวกเจ้าทรงสร้างอาศรมถวาย ในที่ที่คณะฤาษีปรารถนาจะอยู่เถิด.
แต่นั้นอาจารย์พร้อมด้วยชฎิล 16,000 เป็นบริวาร ได้รับอนุเคราะห์จากพวก
อำมาตย์จึงออกจากอุตตรชนบท มุ่งหน้าไปทักษิณชนบท. ท่านพระอานนท์
ถือเอาความนั้นในเวลาทำสังคายนาได้ยกนิทานแห่งปารายนวรรคขึ้นได้กล่าว
คาถาเหล่านี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โกสลานํ ปุรา ได้แก่ จากพระนครโกศล.
อธิบายว่า จากกรุงสาวัตถี. บทว่า อากิญฺจญฺญํ คือ ความเป็นผู้ไม่มีกังวล.
อธิบายว่า วิเวกอันเป็นอุปกรณ์แห่งการกำหนด. บทว่า โส อสฺสกสฺส
วิสเย มุฬกสฺส สมาสเน
คือ พราหมณ์นั้นอยู่ในแคว้นใกล้พรมแดนใน
ระหว่างสองแคว้น คือ แคว้นอัสสกะและแคว้นมุฬกะ. อธิบายว่า ในท่ามกลาง
แคว้นทั้งสอง. บทว่า โคธาวรีกุเล ได้แก่ ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี. อธิบายว่า

แม่น้ำโคธาวรีแยกออกเป็นสองสายได้กระทำเกาะในระหว่างประมาณ 3 โยชน์
เกาะทั้งหมดปกคลุมไปด้วยป่ามะขวิด เมื่อก่อน ณ ประเทศนั้นสรภังคดาบสเป็น
ค้นอาศัยอยู่. ได้ยินว่า อาจารย์เห็นประเทศนั้นแล้วจึงแจ้งแก่อำมาตย์ทั้งหลาย
ว่า ประเทศนี้เป็นที่อยู่ของสรณะมาก่อน ประเทศนี้สมควรแก่นักบวช. พวก
อำมาตย์ได้ให้ทรัพย์ 100,000 แก่พระเจ้าอัสสกะ อีก 100,000 ให้แก่
พระเจ้ามุฬกะ เพื่อถือเอาภูมิประเทศนั้น. พระราชาทั้งสองนั้นได้พระราชทาน
ประเทศนั้นและประเทศอื่นประมาณ 2 โยชน์ รวมประเทศทั้งหมดประมาณ
5 โยชน์. นัยว่า ประเทศนั้นอยู่ในระหว่างเขตรัชสีมาของพระราชาเหล่านั้น.
พวกอำมาตย์สร้างอาศรม ณ ที่นั้นแล้วและให้นำแม้ทรัพย์อื่นมาจากกรุงสาวัตถี
จัดตั้งเป็นโคจรคามเสร็จแล้วพากันกลับไป. บทว่า อุญฺเฉน จ ผเลน จ
ได้แก่ ด้วยที่เที่ยวแสวงหาอาหารและด้วยรากไม้และผลไม้ในป่า. เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ตสฺเสว อุปนิสฺสาย คาโม จ วิปุโล อหุ ชาวบ้าน
ที่อาศัยพราหมณ์พาวรีนั้นก็เป็นผู้ไพบูลย์.
บทว่า ตสฺส ได้แก่ ฝั่งแม่น้ำโคธาวรีนั้นหรือพราหมณ์นั้น. บทว่า
ตสฺส นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. อธิบายว่า อาศัยซึ่ง
พราหมณ์นั้น. บทว่า ตโต ชาเตน อาเยน มหายญฺญมกปฺปยิ พราหมณ์-
พาวรีได้บูชามหายัญด้วยส่วนอันเกิดแต่บ้านนั้น คือ พราหมณ์พาวรีนั้นได้บูชา
มหายัญด้วยส่วนแสนหนึ่ง อันเกิดแต่กสิกรรมเป็นต้นในบ้านนั้น กุฎุมพีทั้งหลาย
ถือเอาส่วยนั้นไปเฝ้าพระเจ้าอัสสกะทูลว่า ขอพระองค์ทรงรับส่วยนี้เถิด พระ-
เจ้าอัสสกะตรัสว่า เราไม่รับ พวกท่านจงนำไปถวายอาจารย์เถิด. แม้อาจารย์ก็
ไม่รับส่วยนั้นเป็นของตนได้บูชามหายัญ. อาจารย์นั้นได้ให้ทานทุก ๆ ปี ด้วย
ประการฉะนี้.

พึงทราบความแห่งคาถาว่า มหายญฺญํ ดังต่อไปนี้. อาจารย์นั้นบูชา
มหายัญคือทานทุก ๆ ปีอย่างนี้ ครั้นบูชามหายัญนั้นทุกปีแล้วได้ออกจากบ้าน
กลับเข้าไปสู่อาศรมอีก ครั้นกลับเข้าไปแล้วก็ไปยังบรรณศาสานั่งพิจารณาถึง
ทานว่าเราให้ทานด้วยดีแล้ว เมื่อพราหมณ์พาวรีกลับ เขาไปแล้ว พราหมณ์อื่น
ที่ถูกพราหมณีรุ่น ๆ ประสงค์จะทำการงานอันไม่ชอบธรรมส่งไปว่า พราหมณ์
ท่านจงมา พาวรีพราหมณ์สละทรัพย์ 100,000 ตลอดปีที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ท่าน
จงไปขอมาสัก 500 แล้วนำทรัพย์ที่ท่านให้แล้วมา ก็เข้ามา. บทว่า อุคฺฆฏฺฏ-
ปาโท
เท้าเสียดสีกัน คือ ฝ่าเท้าเสียดสีด้วยการก้าวไปตามทาง หรือเท้าเสียดสี
เพราะส้นกับส้น ข้อเท้ากับข้อเท้า เข่ากับเข่า. บทว่า สุขญฺจ กุสลํ ปุจฺฉิ
พราหมณ์พาวรีถามถึงสุขและกุศลว่า พราหมณ์ท่านสบายดีหรือ ท่านทำกุศล
บ้างหรือ. บทว่า อนุชานาหิ คือท่านจงเธอเราเถิด. บทว่า สตฺตธา
ศีรษะของท่านจะแตก 7 เสี่ยง. บทว่า อภิสงฺขริตฺวา ทำกลอุบาย ท่าน
อธิบายว่า พราหมณ์ถือเอามูลโค ดอกไม้ หญ้าคาในป่า แล้วรีบไปยังประตู
อาศรมของพราหมณ์พาวรีเอามูลโคเช็ดพื้นเกลี่ยดอกไม้ปูหญ้า เอาน้ำในคนโท
ล้างเท้าซ้าย เดินไปประมาณ 7 ก้าว ลูบคลำฝ่าเท้าของตนทำอุบายหลอกลวง
อย่างนี้. บทว่า เภรวํ โส อกิตฺตยิ คือ พราหมณ์นั้นได้กล่าวคำจะให้เกิด
ความกลัว. อธิบายว่า พราหมณ์นั้นได้กล่าวว่า หากเมื่อเราขออยู่ ท่านไม่ให้
ดังนี้. บทว่า ทุกฺขิโต พราหมณ์พาวรีเกิดโทมนัส. บทว่า อุสฺสุสฺสติ
ซูบซีด คือพราหมณ์พาวรีสำคัญว่า คำพูดของพราหมณ์นั้นบางครั้งพึงเป็น
ความจริงจึงซูบซีด. บทว่า เทวตา ได้แก่ เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ อาศรม

นั่นเอง. บทว่า มุทฺธนิ มุทฺธาธิปาเต ว1 คือในธรรมเป็นศีรษะและธรรม
เป็นเหตุให้ศีรษะตกไป. บทว่า โภตี จรหิ ชานาหิ คือถ้าท่านรู้จักข้าพเจ้า.
บทว่า มุทฺธาธิปาตญฺจ ได้แก่ ธรรมเป็นศรีษะและธรรมเป็นเหตุให้
ศีรษะตกไป. บทว่า ญาณมฺเมตฺถ ตัดบทเป็น ฆาณํ เม เอตฺถ เรา
ไม่มีความรู้ในธรรมทั้งสองอย่างนี้. บทว่า ปุรา จากเมือง ความว่า เมื่อ
พาวรีพราหมณ์อาศัยอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำโคธาวรีล่วงไป 8 ปี พระพุทธเจ้าทรง
อุบัติขึ้นแล้วโนโลก พระองค์เสด็จออกผบวชจากกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระชนม์ได้
29 พรรษา. บทว่า อปจฺโจ คือลำดับพระวงศ์. บทว่า สพฺพาภิญฺญาพลปฺ-
ปตฺโต
คือทรงบรรลุอภิญญาและทศพลญาณครบถ้วน หรือทรงบรรลุอภิญญา
ทั้งหมดและพละ. บทว่า วิมุตฺโต ทรงน้อมไป คือ มีพระทัยน้อมไปในการ
ทำอารมณ์ให้เป็นไป. บทว่า โสกสฺส ตัดบทเป็น โสโก อสฺส มีความ
โศกเบาบาง.
บทว่า ปหูตปญฺโญ คือมีปัญญามาก. บทว่า วรภูริเมธโส มีพระ-
ปัญญาประเสริฐคือมีพระปัญญาอุดมไพบูลย์หรือมีปัญญาประเสริฐยินดียิ่งใน
ความเป็นจริง. บทว่า วิธุโร คือปราศจากธุระ. ท่านอธิบายว่าไม่มีที่เปรียบ.
บทว่า มนฺตปวรเค คือถึงฝั่งแห่งเวท. บทว่า ปสฺสวโห คือ
ท่านทั้งหลายจงดู. บทว่า อชานตํ คือไม่รู้ บทว่า ลกฺขณา คือลักษณะ
ทั้งหลาย. บทว่า พฺยกฺขาตา คือกล่าวแล้ว. อธิบายว่า ทำให้กว้างขวาง.
บทว่า สมฺตตา คือจบแล้ว อธิบายว่า บริบูรณ์แล้ว. บทว่า ธมฺเมน มนุ-
สาสติ
คือพร่ำสอนโดยธรรม. บทว่า ชาติโคตฺตญฺจ ลกฺขณํ ได้แก่
1. อรรถกถา ว่า มุทฺธปตเน วา.

ชาติโคตรและลักษณะของเราว่าเกิดมานานเท่าไร. บทว่า มนฺเต สิสฺเส จ
ได้แก่ เวทที่เราบอกและศิษย์ของเรา. บทว่า มนสาเยว ปุจฺฉถ คือท่าน
ทั้งหลายจงถามปัญหา 7 ข้อเหล่านี้ด้วยใจ. บทว่า ติสฺสเมตฺเตยฺโย เป็นคน
เดียวกันโดยกล่าวทั้งชื่อและโคตร. บทว่า ทุภโย คือ สองคน. บทว่า ปจฺเจก-
คณิโน
คือเป็นเจ้าคณะคนละคณะ. บทว่า ปุพฺพวาสนวาสิตา อันวาสนา
ในก่อนอบรมแล้ว คือ มีใจอันบุญวาสนา คือคตปัจจาควัตรที่เคยบวชในศาสนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปะ อบรมแล้ว. บทว่า ปุรํ มา-
หิสฺสตึ
คือ เมืองมาหิสสตี. อธิบายว่า เข้าไปยังเมืองนั้น. ในบททั้งปวงก็
อย่างนั้น. บทว่า โคนทฺธํ เป็นชื่อของเมืองโคนัทธะ. บทว่า วนสวฺหยํ
คือชื่อว่า วนนคร ท่านเรียกว่า ปวนนคร. อาจารย์บางคนกล่าวว่า วนสาวัตถี
มีเรื่องเล่าว่า บริษัทของชฎิล 16 คนเหล่านั้น ออกจากวนสาวัตถีถึงเมือง
โกสัมพี จากเมืองโกสัมพีถึงเมืองสาเกตตามลำดับมีประมาณ 6 โยชน์.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า พวกชฎิลของพราหมณ์พาวรี
พามหาชนมามาก อินทรีย์ของชฎิลเหล่านั้นยังไม่ถึงความแก่กล้าก่อน ทั้งถิ่นนี้
ก็ยังไม่เป็นที่สบาย ปาสาณกเจดีย์ในเขตมคธเป็นที่สบายของชฎิลเหล่านั้น ก็เมื่อ
เราแสดงธรรมในที่นั้น มหาชนก็จักบรรลุธรรม พวกชฎิลเข้าไปยังนครทั้งปวง
แล้วพากันมา จักมาพร้อมด้วยชนมากขึ้นไปอีก จึงทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์
เสด็จจากกรุงสาวัตถีบ่ายพระพักตร์ไปยังกรุงราชคฤห์. พวกชฎิลเหล่านั้นก็มา
กรุงสาวัตถี เข้าไปสู่วิหารตรวจตราดูว่า ใครเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
อยู่ไหน พากันเข้าไปถึงพระคันธกุฎีที่อาศัย เห็นรอยพระบาทของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ก็ปลงใจว่า เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแน่แล้ว เพราะ

เท้าของผู้กำหนัดกระโหย่ง ฯลฯ
เท้าเช่นนี้เป็นเท้าของผู้มีกิเลส เพียงดังหลัง-
คาเปิดแล้ว
ดังนี้.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จเข้าสู่พระนครมีเสตัพยนครและกรุงกบิล-
พัสดุ์เป็นต้นตามลำดับ เพิ่มมหาชนขึ้นอีกเสด็จไปปาสาณกเจดีย์. แม้พวกชฎิล
ก็พากันออกจากกรุงสาวัตถีทันทีทันใด เข้าไปยังนครเหล่านั้นทั้งหมดแล้วได้ไป
ยังปาสาณกเจดีย์เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า เมือง
โกสัมพี เมืองสาเกต เมืองเสตัพยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ล้วนเป็นเมืองอุดม.
ในบทเหล่านั้นบทว่า มาคธํ ปุรํ เมืองมคธ อธิบายว่า เมืองราชคฤห์.
บทว่า ปาสาณกํ เจติยํ คือ ปาสาณกเจดีย์ เมื่อก่อนได้มีเทวสถานอยู่
ข้างบนแผ่นหินเป็นอันมาก. แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติขึ้น มีวิหาร
เกิดขึ้น วิหารนั้นท่านเรียกว่า ปาสาณกเจดีย์ ตามคำเรียกเดิมนั่นเอง. บทว่า
ตสิโตว อุทกํ เหมือนบุคคลผู้กระหายน้ำ คือ ชฎิลเหล่านั้นรีบติดตามพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพากันไปแต่เช้าสู่ทางที่เสด็จไปในตอนเย็น และไปตอนเย็นสู่ทางที่
เสด็จไปในตอนเช้า ครั้นได้ฟังว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ ณ ที่นี้ ก็เกิดปีติ
ปราโมทย์พากันขึ้นไปสู่พระเจดีย์นั้น. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า รีบพากันขึ้น
ภูเขา. บทว่า เอกมนฺตํ ฐิโต หฏฺโฐ มีความร่าเริงยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ความว่า อชิตมาณผู้เป็นหัวหน้าอันเตวาสิก เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง
ณ มหามณฑปที่ท้าวสักกะสร้าง ณ ปาสาณกเจดีย์นั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงกระทำสัมโมทนียกถาตอบโดยนัยมีอาทิว่า กจฺจิ อิสโย ขมนียํ สบายดี

หรือฤาษีทั้งหลาย จึงกระทำปฏิสัณฐานแม้ด้วยตนเองว่า ขมนียํ โภ โคตม
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สบายดีพระเจ้าข้าเป็นต้น มีใจร่าเริงยืนอยู่ ณ ส่วนข้าง
หนึ่ง ได้กราบทูลถามปัญหาด้วยใจ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อาทิสฺส อ้าง คือ อ้างอย่างนี้ว่า ติสสะ ปุสสะ.
บทว่า ชมฺมนํ คืออชิตมาณพถามว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกชาติของอาจารย์
ของพวกข้าพระองค์เถิด. บทว่า ปารมึ คือถึงความสำเร็จ. บทว่า วีสํ วสฺสสตํ
คือมีอายุ 120 ปี. บทว่า ลกฺขเณ ได้แก่ มหาปุริสลักษณะ. อธิบายว่า
สืบต่อกันมาในมหาปุริสลักษณะนี้ และในคัมภีร์อิติหาสเป็นต้น อื่นจากมหา-
ปุริสลักษณะนี้. อีกอย่างหนึ่งพึงนำบทอื่นมาประกอบว่า ถึงความสำเร็จในมนต์
ทั้งหลายเหล่านั้น. บทว่า ปญฺจสตานิ วาเจติ ย่อมบอกมนต์กะมาณพ 500
คือ พาวรีพราหมณ์ย่อมบอกมนต์ด้วยตนเองกะมาณพผู้เกียจคร้านปัญญาทราม
เป็นปรกติ 500 คน. บทว่า สธมฺเม ในธรรมของตน คือในธรรมแห่งพราหมณ์
ของตน. อธิบายว่า ในปาพจน์อันได้แก่วิชชา 3. บทว่า ลกฺขณานํ ปวิจยํ
จงค้นคว้าลักษณะทั้งหลาย คือ ความพิสดารของลักษณะทั้งหลาย. อชิตมาณพ
ทูลถามว่าลักษณะ 3 ในตัวของพราหมณ์พาวรีนั้นคืออะไร. บทว่า ปุจฺฉญฺหิ
แปลว่า ถามอยู่. บทว่า กเมตํ ปฏิภาสติ ข้อปัญหานั้นแจ่มแจ้งกะใคร
คือ คำถามนั้นย่อมแจ่มแจ้งกะบุคคลไรในบรรดาเทวดาเป็นต้น.
พราหมณ์ครั้นได้สดับการพยากรณ์ปัญหา 5 ข้อแล้ว เมื่อจะทูลถาม
ปัญหาสองข้อที่เหลือจึงกราบทูลว่า มุทฺธํ มุทฺธาธิปาตญฺจ ธรรมเป็นศรีษะ
และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรง
พยากรณ์ปัญหาเหล่านั้น จึงตรัสคาถามีอาทิว่า อวิชฺชา มุทฺธา อวิชชาชื่อว่า
ธรรมเป็นศีรษะ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น เพราะอวิชชาเป็นความไม่รู้ในอริยสัจ 4 เป็นศีรษะ
แห่งสังสารวัฏ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสว่า อวิชชาชื่อว่าธรรมเป็น
ศีรษะ. อนึ่ง เพราะอรหัตมรรควิชชา (วิชชาในอรหัตมรรค) ประกอบ
ด้วยศรัทธาสติสมาธิกัตตุกัมยตาฉันทะ (ความพอใจใคร่เพื่อจะทำ) และวิริยะ
อันเกิดร่วมกับตนยังศีรษะให้ตกไป เพราะเข้าถึงธรรมเป็นศีรษะด้วยความตั้งอยู่
ในรสอันเดียวกันของอินทรีย์ทั้งหลาย ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
วิชฺชา มุทฺธาธิปาตนี วิชชาเป็นธรรมเครื่องให้ศีรษะตกไป. บทว่า ตโต
เวเทน มหตา
ด้วยพระเวทอันยิ่งใหญ่ ความว่า ลำดับนั้นอชิตมาณพได้ฟัง
การพยากรณ์ปัญหานี้ เกิดมหาปีติเป็นล้นพ้นเบิกบานใจ ถึงความเป็นผู้ไม่หดหู่
ทางกายและจิตมีความยินดียิ่ง. อชิตมาณพกล่าวคาถานี้ว่า ปติตฺวา จ พาวรี
พราหมณ์พาวรีขอหมอบลงแทบพระบาท. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะ
ทรงอนุเคราะห์พาวรีนั้น จึงตรัสคาถาว่า สุขิโต ขอพราหมณ์พาวรีจงมี
ความสุขเถิด. ครั้นตรัสแล้วจึงทรงปวารณาเป็นการปวารณาของพระสัพพัญญู
ว่า พาวริสฺส จ ความว่า จงถามความสงสัยทุก ๆ อย่างของพราหมณ์พาวรี
หรือของท่านเถิด.
ในบทเหล่านั้นบทว่า สพฺเพสํ ทั้งหมดได้แก่ อันเตวาสิก 16,000
ไม่มีเหลือ. บทว่า ตตฺถ ปุจฺฉิ ตถาคตํ อชิตมาณพทูลถามปัญหาแรกกะ
พระตถาคต ณ ที่นั้น คือ อชิตะ ทูลถามปัญหาแรก ณ ปาสาณกเจดีย์นั้น ณ
บริษัทนั้น หรือ ณ ที่พระองค์ทรงปวารณาไว้นั้น. บทที่เหลือในคาถาทั้งหมด
ชัดดีอยู่แล้ว.
จบอรรถกถาวัตถุกถา แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา เพียงนี้ก่อน

อชิตปัญหาที่ 1


ว่าด้วยปัญหาของอชิตมาณพ
[425] อชิตมาณพทูลถามปัญหาว่า
โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรหุ้มห่อไว้
โลกย่อมไม่แจ่มแจ้งเพราะอะไร พระองค์
ตรัสอะไรว่า เป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ อะไร
เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนอชิตะ
โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่
แจ่มแจ้งเพราะความตระหนี่ (เพราะความ
ประมาท) เรากล่าวตัณหา ว่าเป็นเครื่อง
ฉาบทาโลกไว้ ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น.
อ. กระแสทั้งหลายย่อมไหลไปใน
อารมณ์ทั้งปวง อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแส
ทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสบอกเครื่องกั้น
กระแสทั้งหลาย กระแสทั้งหลายอันบัณฑิต
ย่อมปิดกั้นได้ด้วยธรรมอะไร.
พ. ดูก่อนอชิตะ สติเป็นเครื่องกั้น
กระแสในโลก เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องกั้น
กระแสทั้งหลาย กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิต
ย่อมปิดกั้นได้ด้วยปัญญา.